หลาย ๆ คนคงเคยชินกับคำว่า “อย่าตากฝนนะ…เดี๋ยวเป็นหวัด” แต่จริง ๆ แล้วน้ำฝน หรือ การตากฝน ไม่ใช่ต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เราไม่สบาย เพราะ “ไวรัส” ต่างหากที่เป็นตัวการที่ทำให้เราเป็นหวัด
เพราะโดยส่วนใหญ่ขณะที่โดนฝนนั้นเรามักอยู่ในที่โล่ง จึงทำให้มีโอกาสที่จะได้รับเชื้อไวรัสที่พัดมาพร้อมกับลมหรือละอองฝน เข้าสู่ร่างกายทางโพรงจมูกและระบบทางเดินหายใจสูงกว่าการอยู่ในที่ปิด
ดังนั้นความเชื่อที่ว่าต้องระวังไม่ให้ศีรษะโดนฝนจะช่วยป้องกันเราจากการเป็นไข้หวัดได้จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะความจริงแล้วตัวแปรสำคัญ คืออุณหภูมิที่ลดต่ำลงในช่วงฤดูฝน และอากาศที่เย็นและชื้น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไวรัสมากกว่าในฤดูอื่น ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากอุณหภูมิที่เย็นลงกว่าปกติของร่างกายจะมีผลให้ภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลงแล้ว ก็ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ไวรัสที่มาพร้อมน้ำฝนสามารถอาศัยอยู่ตามเสื้อผ้า มือ หรือ แม้แต่ศีรษะและเส้นผมของเราได้ยาวนานกว่าเดิมอีกด้วย
ดังนั้นหากเรามีการสัมผัสกับไวรัสเหล่านี้โดยตรง แต่ขาดความระมัดระวังในการล้างมือ และไม่มีการป้องกันที่ดีพอ หรือ ไม่มีการฆ่าเชื้อโรคให้ดี หลังจากสัมผัสสิ่งของ ก็อาจจะทำให้ร่างกายโดนไวรัสโจมตีจนกลายเป็นไข้หวัดได้ไม่ยาก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนทีไร ใคร ๆ ก็มักจะบอกว่าเป็นช่วงฤดูที่ไข้หวัดต่าง ๆ กลับมาระบาดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เพื่อรักษาระดับภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรงสู้หวัดในฤดูฝนแบบนี้ได้ ต้องเริ่มจากการพยายามเลี่ยงการโดนฝนให้ได้มากที่สุด แต่หากเลี่ยงได้ยากก็ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายเปียกชื้นหรือ เย็นจนเกินไปเป็นระยะเวลานาน ๆ ควรรีบทำร่างกายให้แห้งและอบอุ่นโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งปล่อยให้ร่างกายเย็นหรือเปียกชื้นมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคต่าง ๆ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้เรายังสามารถเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายในช่วงฤดูฝนด้วยอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน อย่างน้ำขิง ที่สามารถดื่มเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายเมื่อต้องตากฝน หรือ หลังจากต้องอยู่ในสภาวะตัวเย็นชื้นนาน ๆ รวมถึงการเลือกรับประทานผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง จะยิ่งช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มไปป้องกันโรคมากขึ้นอีกด้วย
เพราะการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ไม่ใช่เพียงแค่สร้างความแข็งแรงในช่วงฤดูฝนเท่านั้น แต่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอย่างยั่งยืนในระยะยาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สามารถต้านทานโรคและไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุก ๆ ฤดู
แต่ถ้าหากร่างกายเริ่มมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ รู้สึกคัดจมูก แสดงว่าร่างกายของเรากำลังโดนเชื้อหวัดโจมตีเรียบร้อยแล้ว ! ทางที่ดีควรจะรีบทำการรักษาให้อาการทุเลาลง ก่อนที่ไวรัสจะลุกลามไปถึงลำคอ หรือก่อให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ ตามมา
ถึงแม้ว่าไข้หวัดจะเป็นโรคทั่วไปที่ไม่อันตรายมากนัก แต่การรักษาให้หายจากอาการไข้หวัดโดยไวนั้นจะช่วยลดการแพร่ระบาดสู่ผู้อื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีโรคประจำตัวยิ่งเสี่ยงต่อการแทรกซ้อนจากโรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้แม้แต่ไข้หวัดธรรมดา ก็อาจกลายเป็นภัยร้ายแรงถึงชีวิตได้โดยไม่คาดคิด
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นหวัด ควบคู่ไปกันการรับประทานยาให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
● ดื่มน้ำ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
● ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
● รับประทานอาหาร ผัก ผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูง
● หากเริ่มเป็นไข้ ร่างกายมีอุณหภูมิสูง ให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
แต่ถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้น หรือทรุดลง ถึงแม้จะทานยาครบ และ ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะ ถ้าหากไวรัสที่เราได้รับมาไม่ใช่เพียงแค่หวัดทั่วไป แต่เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือ โรคระบาดอื่น ๆ ที่รุนแรงกว่า อาจจะทำให้เป็นอันตรายกับสุขภาพร่างกายได้ ทางที่ดีควรได้รับการรักษาและดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูและกลับมาหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
หลายคนอาจจะลังเลกับการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ และสิ้นเปลืองเกินความจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อเป็นแค่หวัด ที่ดูเหมือนไม่ใช่โรคที่รุนแรงมากนัก
แต่ถ้าหากอาการ ไอ มีน้ำมูก และมีไข้สูง ไม่ยังหายขาดแม้จะดูแลตัวเองมาเป็นเวลาหลายวัน อาจบ่งบอกถึงอาการเริ่มต้นของไวรัสชนิดที่ร้ายแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป ที่ยาสามัญประจำบ้านสามารถบรรเทาอาการได้ หรือ อาจก่อให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอจากอาการป่วย
ดังนั้นคงจะดีกว่าถ้าเราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างไร้กังวลเพราะมีตัวช่วยในการแบ่งเบาค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทางการแพทย์ที่ให้คุณสบายใจ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยอาการมากหรือน้อยแค่ไหนก็สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที